วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เรื่องสั้นคนบ้านนอก ตอน ใครหมู่



รถ 2 แถวสีส้ม คาดอักษรสีขาว บอกจุดหมายปลายทางที่ด้านข้างตัวรถ  “ วานร – สกล “ 

เปิดไฟเลี้ยวเสียงดัง “ด๊อกแด๊ก” แล้วหักเลี้ยวเข้าสู่ถนนลูกรังสีถ่านเพลิง  ไอฝุ่นคละคลุ้งตามไฟท้าย
ผู้โดยสารบนรถ บางคนทำกริยาเหมือนชื่อจุดหมายปลายทาง  บ้างก็ “ว่านอน  และ สะกรน”
บางคนน้ำลายยืดสะดุ้งตื่น หัวสั่นหัวคลอน
                ถนนทางหลวงชนบท เป็นทางลูกรังคดเคี้ยวไปตามทุ่งนาและแต้มแต่งด้วยป่าเต็งรัง
บ้างก็มีหลุมบ่อ ต้องใช้ความชำนาญขั้นเทพในการบังคับ  ในคราที่รถ "ลงมอ” หรือทางลาดชัน
แม่ใหญ่ศรี ต้องเอาเท้าเกี่ยวกับ “มัดมันเพา”ไว้ หลุด
"มันเพา”  มัดนี้ แกซื้อมาจากตัวเมือง หวังเอาไปฝากหลานน้อย ด้วยราคา มัดละ 5 บาท
 
                ฝุ่นลูกรังปลิวโปรยตามแรงลม ใบไม้และต้นไม้ริมทางพลอยถูกแต้มสีแดงไปด้วย
หนทางคกงอไปตามภูมิประเทศ สะพานข้ามลำห้วย ยังเป็นสะพานไม้ตอกหมุด
รถวิ่งผ่านเสียงดังโครมคราม  ป้ายจำกัดความเร็วข้างทาง ระบุ “ 400 กม.”
“แอ๊ดรถ” (แอ๊ด ย่อมาจาก Administer ) หรือเด็กท้ายรถ ขยี้ตาตัวเอง
ดูป้ายจำกัดความเร็วข้างทางอีกครั้ง นึกว่าตาพล่าแดด
“ โอยย..ไผเอาขี้ถ่านไฟมาเขียนเติมเลข 0 วะ " 
ที่แท้ ป้ายจำกัดความเร็ว เอียงกระเท่เล่  เขียนไว้แค่  40 กม. แต่ถูกเด็กน้อยที่หาเลาะยิงกะปอม
เอาขีถ่านถ่านไฟเติมเลข 0 อีกตัว  เท่ากับความเร็วรถไฟหัวกระสุน
        สองข้างทางเต็มไปด้วยวิถี  คราใดที่รถวิ่งผ่านหมู่บ้าน จะเห็นเด็กเล็กวิ่งตามเป็นพรวน
สูดดมกลิ่นเผาไหม้น้ำมันดีเซล 
“ คือหอมดัง ฮิ่นๆ แท้หวา "
เพราะกลิ่นที่คุ้นเคยคือ กลิ่นดิน กลิ่นโคลนสาบควาย กลิ่นหญ้าหอมปนดอกไม้ถิ่น   
กลิ่นประหลาดจากน้ำมัน จึงเป็นจุดสนใจ ให้สูดดม ปิโตเลียม
คราที่รถจอดส่งผู้โดยสาร จะเห็นภาพผู้คนกอดกันด้วยดีใจที่ได้พบ พร้อมหิ้วของฝากพะรุงพะรัง
ต่างปลื้มปรีดากับคนที่กลับมาจาก “เจ้างูใหญ่สีแดงคดเคี้ยว” เส้นนี้

เด็กขี้ดื้อ(แสนซน) บางคน หลอย (แอบ) เอามือ “ต้วย” ( คุ้ย,ป้าย) ท่อไอเสียรถดำปื๋อ 
แล้วก็เอาไปป้ายดัง(จมูก) เพื่อน ๆ เป็นที่สนุกสนาน

ไม่นานรถก็เคลื่อนออกจากหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนาหน้าแล้ง มองเห็นฝูงวัวควาย ออกันตามลำห้วยเก่า
ต้นเตยหนาม เกิดเป็นพุ่มตามลำห้วย น้ำในก้นห้วยแห้งขอด เห็นดินแตกระแหง
ควายหลายตัวนอนแช่ปลัก หรือ “บวก” ในภาษาอีสาน เมื่อรถสีส้มวิ่งผ่าน  มันจะชะเง้อมอง
บางตัวก็ ยิงฟัน แยกเขี้ยวใส่ อย่างหวงถิ่น  หรือบางทีมันอาจกำลังต่อต้านจักรกลนิยมใครจะสน


ต้นกระโดนกลางทุ่ง ยืนเด่นผลิใบอ่อนแทงยอด
บางกิ่งงอกใบสีเขียว
ขัดแย้งกับบรรยากาศรอบด้าน
ซึ่งกำลังเป็นสีน้ำตาลแห้งเพราะขาดน้ำ
ประหนึ่งเหมือนมันเชื่อมั่นว่าในไม่ช้า  
ฝนจะถั่งโถมชโลมดิน ให้ถิ่นนี้วิไล
ต้นกระบก ยังเป็นพุ่มเขียวครึ้ม ไม่แยแสต่อฤดูแล้ง  ไม่ผลัดใบให้แตกต่าง
เหมือนปล่อยวางภาระแห่งการดิ้นรน  ฝนหรือแล้งแค่กาลฤดูผ่านไป

รถโดยสารสีส้มยังคงมุ่งทะยานไปตามถนนสีแดงที่ตัดผ่านป่าโคก  ไม้เต็งรังยืนระเด่นทิ้งใบ
ต้นไม้บางชนิดออกดอกสีแดง ,สีขาว ล้อเล่นต่อความกันดาร 
บางช่วงถนนเปลี่ยวเหมือนตั้งใจตัดผ่านป่า ไร้วี่แววการอยู่อาศัยของสัตว์ประเสริฐ
พาลให้คิดว่าหากรถเสียหรือ รถ "ฮ้าง ขึ้นมา คงต้องนอนกินข้าวลิงกันข้ามคืน

รถโดยสารวิ่งมาไกลโข  จอดส่งผู้คนตามรายทางหลายหมู่บ้าน จนตะวันบ่ายคล้อย
เหลี่ยมตะวันฉายโดนลบ โดยยอดไม้ข้างทาง แดดร้อนแรงกลายเป็นอ่อนโยนทันตา
ผู้โดยสารทยอยกันลงจากรถตามรายทาง จนเหลือแค่  หนุ่มหน้าตาดี สวมชุดกากีนวล
เขาคือ ครูใหม่ ที่เพิ่งได้คำสั่งบรรจุมาหมาด ๆ  จากการสอบบรรจุ ของ สพฐ.กันดาร
“ อีกนานไหมครับถึงบ้านห้วยแฝก “
ครูใหม่ถามแอ๊ดรถ ด้วยสีหน้าเพลียๆ เพราะนั่งรถมาตั้งแต่เที่ยงวัน
“ อีกโดนเติบครับครู  ถึงแล้วจะบอก”
แอ๊ดรถผู้ชำนาญเส้นทางบอกด้วยภาษาไทยปนลาวอีสาน สำเนียงแปร่งๆ
ชายหนุ่มชุดกากีนวล เอามือคลำกระเป๋าเสื้อ หาซองเอกสารรายงานตัว ต่อต้นสังกัด
ก่อนถอนหายใจคลายกังวลเพื่อพบว่ามันยังอยู่ที่เดิม  พลางครางในลำคอ
“ อืมม...เหิงเติบ 

.................................................................................................

ขณะที่รถเคลื่อนไปอย่างใจเย็น ภาพแห่งความหลัง ผุดขึ้นในภวังค์ของครูหนุ่ม
ในสมัยเรียน วิทยาลัยครู และเปลี่ยนมาเป็น “สถาบันราชภัฏ” ในปี 2535
ราชภัฏ”  หมายความว่า เป็นคนของพระราชา"
พระราชาที่ทรงธรรม ที่ทรงงานเพื่อประชนของพระองค์ อย่างที่ไม่เคยมีราชาองค์ใดเทียมเท่า
แม้ในถิ่นกันดารแค่ไหน พระองค์ไม่เคยย่อท้อ ในการบำบัดทุกข์ให้ปวงชน

ความทุกข์ยากในการตรากตรำ ร่ำเรียน  ทั้งต้องครองตนให้อยู่ใน จริยะอันควร ในฐานะวิชาครู
ผู้จะเป็นแบบอย่างให้เด็กตัวเล็ก ๆ  “ให้เกรงความชั่ว  ไม่กลัวการทำดี และมีวิชา”
ภาพผองเพื่อนร่วมคณะ และคณาจารย์ ผลัดก่อนปรากฏในห้วงคำนึง ภาพดรุณีสวยสดใสในชุดครุยวิทยฐานะ
ภาพกุฏิหลวงตาที่เคยอาศัยในตอนเรียน และอื่นๆ มากมายประดาดังโถมใส่ ดังการโคลงเครงของรถ
...................................................................
“เอี๊ยด.ดดดดด !
เสียงเบรกรถดังลั่น พร้อมกลิ่นฉุนของผ้าเบรกโชยเข้าจมูก ทำให้ครูใหม่ ตื่นจากห้วงภวังค์
“ฮอดแล้วคับครู 
แอ๊ดมิน ฯ ประจำรถร้องบอก ครูใหม่เรียบหยิบสัมภาระลงจากรถ หันมองไปทั่วบริเวณ
รอบด้านมีแต่ป่าโคก วังเวง ประจวบกับตะวันคล้อยค่ำ ย่ำยามผีตากผ้าอ้อม
ทำเอาครูหนุ่มประวิงหวั่น
“ ไหนหละ เห็นมีแต่ป่า “
“โน้นครับ.ต้องย่าง(เดิน) ไปตามทางโนนหินแห่(ลูกรัง) เข้าไปอีก 5 กิโล “
มองไปตามมือชี้ เห็นถนนลูกรังแยกจากถนนสายหลัก เป็นถนนสายเล็ก ทอดยาวข้ามทุ่งกว้าง
5 กิโลที่ว่า อาจะเป็น กิโลแม้ว”  มิใช่”กิโลเมตร” เสียแล้ว
..................................................................................................................................

รองเท้าหนัง “คัทชู” สีน้ำตาลย่ำไปตามทางลูกรังตัดผ่านทุ่งนา มองรอบทิศเห็นแต่ ตอฟางแห้ง
มีเถียงนา ของชาวนาตามรายทาง ฝามุงใบตอง หลังคาห่มแฝกให้เห็นเป็นระยะ ๆ
สลับกับป่าโคกเปล่าเปลี่ยว  นานๆที ได้ยินเสียงกริ่งเกราะ วัวควายของชาวบ้านอยู่ไกลๆ
ลมพัดใบตองแห้งในป่าดังโกรกกราก ดังเสียงหลอกหลอนแห่งพงไพรให้ผวาตื่น
แดดอ่อนแรงลงโข  ยอดไม้ใบโกร๋นพาดผ่านตะวัน คือทัศนะสัญญาณบอกเวลา “ตะวันชิงพลบ”
ต้นดอกจานต้นใหญ่ข้างทาง ออกดอกสีแดงส้มเต็มกิ่ง หยอกล้อแสงตะวันคล้อย
ใต้ต้นมีดอกเก่าอำลากิ่ง เกลื่อนกล่นพื้น  
ครูใหม่แหงนมองช่อดอกสีสด ในขณะเดินผ่าน เผยยิ้มที่มุมปาก
แม้ในถิ่นกันดาร ห่างไกลสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นนี้ ยังมีสีสันอัปสร อรชรให้ภิรมย์
...........................................................
ใครอื่นอาจะเร้นหลีกถิ่นกันดาร เลือกบรรจุในแถบเมือง แต่ไม่ใช่ครูคนนี้ เขาเลือกแบบนี้
เพราะเชื่อว่าทุกถิ่นในประเทศไทย ไม่ว่าจะห่างไกลหรือใกล้อาณาจักร ”โลตัส”
ล้วนมีความมืดมนทางปัญญา ที่รอประทีปน้อยๆ  ส่องสว่างให้เท่าเทียม
...............................................
การมารับราชการครั้งแรกครานี้ ช่างตื่นเต้นผจญภัยดีแท้   นั่งรถข้ามจังหวัด ข้ามอำเภอมาทั้งวัน
ได้พบเห็นอะไรมากมาย แถมยังต้องเดินกินฝุ่นจน “หัวแดง”  จนใกล้ค่ำก็ยังไม่ถึงที่หมาย
ท้องฟ้าสีแดงชาด เรื่อเรืองในเส้นขอบฟ้า  ทิวไม้เริ่มทะมึนทึบ  ความขมุกขมัวเริ่มคืบคลาน
หนทางเปล่าเปลี่ยวเส้นนี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง ณ แห่งใด
ครูใหม่ยังคงสะพายเป้ เดินดุ่มจนเหงื่อซึมหลัง  บรรยากาศรอบทิศเริ่มมืดลงทีละน้อย
ชายหนุ่มรีบสาวเท้าก้าวยาวๆ  เพื่อเร่งเวลาให้พ้นจากความวังเวง
.................................................................................................
พอพ้นป่าโคกเปลี่ยวมาได้ ก็มืดมองแทบไม่เห็นลายมือแล้ว  เบื้องหน้าคือทุ่งกว้างอีกเช่นเคย
ชายหนุ่มปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก แลผ่าความขมุกขมัวไปด้านหน้า ไม่เห็นแม้แสงสว่างของ
ไฟฟ้าหรือตะเกียงใด ๆ  ในใจพะวงหน้าพะวงหลัง ไม่แน่ใจว่าตัวเองมาถูกทางหรือเปล่า
รอบด้านได้ยินเพียงเสียงแมลงกลางคืน  เพิ่มอรรถรสแห่งความวิตกจริต
เดินมาอีกชั่วอึดใจ จนถึงสะพานไม้ข้ามลำห้วย  ที่มีกอไผ่ขึ้นครึ้ม
        "สิไปทางได๋..น้อ..”
น้ำเสียงทุ้มร้องถาม ดังมาจากลำห้วย ในขณะที่ครูใหม่เดินข้ามสะพาน  ทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งตกใจ
ร่างเงาของชายรูปร่างสันทัดเดินขึ้นมาจากลำห้วยที่แห้งขอด ทำให้ครูใหม่ ถอนหายใจโล่งอก
“ ไปบ้านห้วยแฝกครับ  ไปทางนี้แม่นบ่ “
ครูใหม่ร้องถามตอบไปแก้อาการประหม่า
“ ทางนี้หละ อีกบ่ไกลดอก “
ชายวัย 50 กว่า เดินขึ้นมาจากลำห้วย สะพาย “ข่อง” (ภาชนะใส่ปลา)  ผ้าขาวม้าคาดเอว
ท่าทางจะเป็นคนในท้องถิ่น เดินมาใกล้จนเห็นใบหน้าชัด แม้จะยามตะวันโพล้เพล้
“ โห้..! คือแต่งตัวโก้แถะ  เป็นครู ซั้นติ “
ชายชรายิ้มเล็กน้อย มาพร้อมกับคำชม
“ ครับ ผมจะมาเป็นครูที่บ้านห้วยแฝก “  ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ สีหน้าผ่อนคลาย
“ ซือหยังหละ ครับ ครูใหม่ นี่แมะ “ 
“ ซื่อ ต้อง  ครับ"
“ต้อง ...อืมมม.. ต้องแล่ง ติ “  ชายชรามองสำรวจผู้มาใหม่
“ บ่แม่นครับ  ต้อง ที่แปลว่า  ลูกกระท้อน ครับ “  ครูใหม่อธิบาย
“ อ๋อ...หมากต้อง “  ว่าแล้วก็หัวเราะร่า
“ไปๆ  ผมจะเมือ(กลับ) บ้านพอดี   ไปทางเดียวกัน จะได้มีเพื่อนคุย “
ชายวัยผมสองสี ชวนครูหนุ่มร่วมเดินทาง พร้อมเดินนำหน้าผ่าความขมุกขมัวไปตามทางลูกรัง
ครูใหม่ถอนหายใจคลายกังวล โชคดีที่มีเพื่อนร่วมทาง  อย่างน้อยก็ไม่ต้องหวาดหวั่น
.........................................................................................
ทั้งสองดินคุยกันมาอยากออกรสชาติ มีเสียงหัวเราะขำบ้างปนเปไป  ลืมความมืดที่กำลังปกคลุม
เห็นแค่เงาตะคุ่มๆ  ด้วยทั้งสอง เป็นคนอีสานเช่นกัน จึงไม่ยากในการสื่อสาร
“ ครูต้อง มาสอนวิซาหยังหละครับ “
" วิชา วิทยาศาสตร์ครับ   ครูใหม่ตอบ
“ ผมบ่ฮู้จักดอก  ฮู้แต่ เลข  เขียน  เลิก  สมัยผมเฮียนดอกหวา “ ชายชราหัวเราะเบาๆ
“ แล้วครูต้อง มีเมียหรือยังหละ “  คำถามนี้ทำเอาครูใหม่สะอึก
“ ยังครับ คุยผู้สาวบ่เป็น “  ครูต้องตอบแบบถ่อมตน
“ โอ๊ย..บ่ยากดอก  สาวบ้านห้วยแฝกบ่อึด  แล่นตำกันพู้นแหล่ว พ้อบ่าวครู “
ว่าแล้วก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
“ซาวบ้านแถวนี้อยากได้ครูผู้เสียสละ มาสอนเด็กน้อยลูกหลาน ให้มีวิซาควมฮู้ ทันโลกเขา “
ชายวัยผมสองสีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เท่าที่สอบถามคุยกัน ทราบว่า หมู่บ้านนี้ไม่มีครูมาบรรจุใหม่นานแล้ว  เพราะเป็นหมู่บ้านห่างไกล
ทางอำเภอกำลังดิ้นรน หางบประมาณมาให้ไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้าน แต่ต้องรออีก 4-5 ปี
โรงเรียนเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีครูอยู่ 10 คน  ปีกลายมีครูย้ายออกไปอีก  2 คน ขาดแคลนครู
หมู่บ้านนี้จึงเป็นหมู่บ้านที่พึ่งพาตัวเองเป็นหลัก  วิถีดั้งเดิม เรียบง่ายและงดงามในประเพณี
..................................................................................
สองคนเดินฝ่าความมืดมาไม่นาน ก็ถึงหมู่บ้าน มีแสงไฟจากตะเกียงแวมไหว
กลิ่นควันไฟจากการหุงหาอาหารโชยมา
“ผมส่งครูแค่นี้เด้อ...โน่นโรงเรียน  ที่เห็นแสงวับๆ นั่น บ้านครูใหญ่ “
“ขอบคุณ คุณลุงมากครับ ที่มาส่ง “
ครูใหม่ยกมือไหว้ชาวถิ่นผู้ใจดี ก่อนเดินเข้ารั้วโรงเรียน มุ่งหน้าไปหาแสงไฟ ณ บ้านครูใหญ่
“ สวัสดีครับครูใหญ่  ผมครู อาทิตย์  นิวาสวงษ์ มารายงานตัวครับ “
ครูต้อง ยืนตะโกนเรียกขึ้นไปบนบ้านพักครูใหญ่  ไม่นาน ครูสุย ครูใหญ่ประจำโรงเรียน ก็ออกมาต้อนรับ
“ โห้..คือมาค่ำแถะหละคุณครู “
ครูใหญ่รับไหว้ แล้วเชื้อเชิญขึ้นบ้านพัก  เร่งไฟตะเกียงขึ้นสว่างโล่
“ กินข้าวปลามาหรือยังหละ “  ครูใหญ่อ่านหนังสือรายงานตัวของครูใหม่แล้วเงยหน้าถาม
“ ยังครับ “ ครูใหม่ตอบสั้นๆ ยิ้มจืด ๆ
“ เอาหละ ไปอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวก่อน  เดี๋ยวผมจะพาไปกินข้าว ที่บ้านงาน
 ดีเลยจะได้แนะนำให้ชาวบ้านเขารู้จัก “
“ บ้านงานอะไรครับ  ชาวบ้านเขามีงานอะไร “ ครูใหม่ถามแก้อาการประหม่า
“ งานเฮือนดี "
 ครูใหญ่ตอบสั้น ๆ
.................................................................................... 
“ ครูสุย......ครูสุย......”
เสียงตะโกนแหวกกลุ่มคนในบ้านงานมา  ในขณะที่ครูใหญ่กำลังซด “ซกเล็ก “
 “ แม่นหยังบักเซียงข่อง”
“ มาเบิ่งครูน้อยเจ้าแน   เพิ่นเป็นลม ไทบ้านกำลังเป่าน้ำเอาอยู่ “
“ บักทิดสาขี้เหล้า มอมครูน้อยใหม่กูติ  ฮ้วย..!
ครูสุย บ่นด้วยอารมณ์ไม่ดี พลางลุกออกจากวงอย่างรีบเร่ง
“ อ้าว..ครูต้อง...เป็นหยังบัดเทื่อนี่ “
ครูใหญ่หน้าซีด รีบเข้าไปประคองครูใหม่ ในขณะที่ชาวบ้านกำลังให้น้ำประพรม
ทั้งยาหอมยาดม สารพัดวี   ให้อาการทุเลา
“ เพิ่นไปจุดธูปกราบศพ  เงยหน้าเบิ่งฮูป ภารโรง หมาน   ชี้มือแก่แด่   บอกว่า
อ้าว..ก็เพิ่งเดินมาส่งกันไม่ใช่เหรอ พะนะ “
บักเซียงข่องอธิบาย
“ แม่ใหญ่สีเลาว่า เป็นบ้าติ  คนตายได้  3 มื้อแล้ว  เท่านั้นหละ ครูน้อยเจ้าเลยล้มตึง“

1 ความคิดเห็น: